ไม่ผิดเลยที่จะพยายาม Be more productive
.
แต่จุดไหนกันถึงจะเริ่มล้ำเส้น เปลี่ยนเป็น Toxic Hustle Culture วันนี้มาคุยเรื่องนี้กัน
คิดว่าเพื่อน ๆ คงเป็นเหมือนกัน ที่บางทีเราค่อนข้าง Obsess กับ Productivity อยากทำงานให้เร็วขึ้น ทำได้เยอะขึ้น วัน ๆ นึงมีเวลาเท่าไรก็ไม่พอ ของใน To-do List ทำเท่าไรก็ไม่หมด มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กินกาแฟ ตื่นให้เช้า นอนให้ดึก อ่านหนังสือ พัฒนาตัวเอง ต้อง Socialize ต้องประชุม หน้าที่ต่อคนรอบข้าง ต้องดูแลตัวเอง
ฟัง ๆ ดูเหมือนโลกทุกวันนี้เรียกร้องอะไรจากเรามากเกินไป (ไหม ? นั่นคือคำถาม)
อาการ Burnout เหรอ ? เป็นเรื่อย ๆ เป็นกันทุกหย่อมหญ้า เป็น ๆ หาย ๆ ไม่เห็นจะแปลกอะไร
.
จริง ๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมคิดมาเรื่อย ๆ เหมือนกัน ว่าเราควรจะมี Principles ในการทำงาน ในการใช้ชีวิตยังไง ที่จะเหมาะกับยุคปัจจุบัน ได้ทำหรือ Achieve สิ่งที่เราอยากได้ เก่งขึ้นเรื่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก็มีความสุข รู้สึก Fulfilling มีประโยชน์ต่อคนรอบข้าง และก็มีสุขภาพที่ดี (แค่เขียนออกมาข้างบนก็เริ่มรู้สึกแล้วว่า… เอ๋ มันเยอะไปไหม)
ตอนนี่อายุ 31 แล้ว เลยอยากลองเขียนความคิดตัวเองออกมาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เผื่อจะตกตะกอนอะไรออกมาที่เป็นประโยชน์กับชาวบ้านชาวช่องเค้ามั่ง ทั้งนี้ทั้งนั้น ตรงไหนใครมี Feedback ติชมเสริมแต่ง ก็สามารถแชร์ ๆ กันมาได้เลยนะครับ
สิ่งที่เรียนรู้กับตัวเอง กับการพยายาม Hustle แบบไม่ให้ Toxic
1. ถามตัวเองให้เยอะว่า สิ่งที่เราต้องการจะ Achieve สิ่งที่เราอยากได้ อยากได้มันเพราะอะไร ถาม “Why” ไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ ครั้ง Mari Kondo สอนไว้ ก่อนจะเริ่ม Organize บ้าน ให้เริ่มจากหยิบของทีละชิ้น แล้วถามตัวเองว่าจำเป็นไหม Spark Joy ไหม อันนี้เหมือนกัน ก่อนจะเริ่มวิ่งตามมันไปเสียทุกอย่าง ลองดูก่อนว่า แต่ละอย่างเราวิ่งตามเพราะอะไร
2. อวดว่านอนน้อย อวดว่าแดกกาแฟ 10 แก้ว อวดว่าประชุมนู่นประชุมนี่ทั้งวี่ทั้งวัน Back-to-back มันไม่ค่อยเท่ห์นะ จริง ๆ แล้ว (มันหลอกเด็กได้แค่นั้นแหละเพื่อน และก็หลอกกันเอง 😂) ควรลดให้น้อยเท่าที่จะน้อยได้ ถ้ารู้สึกว่า Value ของเรามาจากการได้รับ External Validation ว่าตัวเรานั้นคือโคตรถึก Constantly working long hours อันนี้ต้องถามตัวเองหนัก ๆ แล้วนะ
3. อีกเหตุผลที่อยากให้ลดพฤติกรรมดังกล่าว คือ พฤติกรรมแบบนี้เองที่เป็นตัว Contribute ต่อ Toxic Hustle Culture ด้วย เพราะมันถูก Glorify + Amplify ผ่าน Social Media มันอาจไม่ได้แค่ทำให้เราหลงทางอยู่คนเดียว แต่คนอื่นก็อาจหลงทางไปกับเรา
4. ทำงานเยอะได้ แต่คิดให้เยอะกว่า Rule of Thumb คือ อย่าทำงานจนกระทั่งไม่มีเวลา Reflect, “คิด” และ “รู้สึก” (สำหรับ “ความรู้สึก” อันนี้ ผมเพิ่งจะเติมมาในปีนี้เอง ก่อนหน้านี้ไม่ค่อยได้ใช้ความรู้สึกให้เป็นประโยชน์เท่าไร แต่จริง ๆ แล้วความรู้สึกนี่เป็นกลไกบางอย่างที่มีประโยชน์มาก ไม่งั้นมนุษย์คงไม่พัฒนามันขึ้นมา สำหรับผมตอนนี้ จะพยายามสังเกตความรู้สึก เพราะมันเป็นสัญญาณชั้นดีที่คอยเตือนเวลาความต้องการลึก ๆ ของเราถูกมองข้าม และอาจนำไปสู่การ Burnout)
5. ทั้งหมดที่พิมพ์มา ยังย้ำว่าให้ Balance นะ ไม่ได้บอกว่าการ Hustle มันไม่ดีแต่อย่างไร ขอแค่อย่า Hustle จนหน้าคะมำ สิ่งสำคัญคือต้องมีความใจเย็น โลกเราเพิ่งมาเร่ง ๆ แบบนี้ตอน Generation เราเอง (แต่เข้าใจ ความเร็วของโลกที่เรารู้สึกมันเป็นความรู้สึกที่จริงมาก เพราะมันคือทั้งช่วงชีวิตของพวกเรา) ลองถอยออกมา มองภาพกว้าง ๆ บ้าง นึกถึง Invention โง่ ๆ ที่เรียกว่า “ล้อเกวียน” บรรพบุรุษพวกเรายังต้องใช้เวลานานกี่พันปีกว่าจะประดิษฐ์ออกมาได้ Learning Curve ของมนุษย์เรามันเพิ่งมา Overload เมื่อไม่นานนี่เอง ลองใช้เหตุผลนี้เพื่อใจดีกับตัวเองหน่อย
6. พยายามเลี่ยงการทำงานแบบ Busy Work // Generally speaking ให้พยายามหาทางทำงานให้น้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งในแง่ของจำนวนชิ้นงานที่ต้อง Take action ในการทำ ทั้งเวลาที่ต้องใช้ต่อชิ้น // Framework ที่ทุกคนพูด ๆ กันว่าให้ Eliminate -> Automate -> Delegate เป็นสิ่งที่ต้องฝึกและถามตัวเองอยู่ตลอด ถ้าไม่มีเวลาถามตัวเอง แสดงว่าอันนี้เริ่มข้ามเส้นไปทาง Toxic ละ
7. คุณค่าของชีวิต ไม่ควรผูกติดกับงานอย่างเดียว Outcome ของการทำงานมันมีทั้งสิ่งที่เราควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องไปพูดถึง Social Status หรือ “ภาพความสำเร็จ” ในมุมอื่นของชีวิตเลย ที่มันเป็นเรื่องของโชคชะตา 108 พันเก้า เราอาจจะนึกว่าหลายอย่างมันอยู่ที่เรา แต่แค่พันธุกรรมของเราเอง เราเลือกได้ไหมหล่ะ แล้วพันธุกรรมแค่อย่างเดียว ส่งผลขนาดไหนต่อ Outcome ของแต่ละคน I think it affects everything เพราะงั้น ถ้าทำได้ พยายาม Embrace outcome ที่มันเกิดขึ้น แล้วไปโฟกัสกับสิ่งที่เราทำได้ ภายใต้สถานการณ์ หรือ Resource ที่เรามี และก็กระจายความรู้สึกมีคุณค่าไปในทางอื่นด้วย รวมทั้งเผื่อที่ให้คุณค่ามันมาจากข้างใน “ตัวเอง” ด้วย แค่คุณยังพยายาม ก็มีคุณค่ามากพอแล้ว
8. โลกที่มี Social Media มันทำให้เรากลายเป็น 7–11 ที่เปิด 24 ชม. แถมเป็น 7–11 ชนิดที่บริการลูกค้าไม่เลือกสถานที่ด้วย สิ่งที่ปีนี้บอกตัวเองหนัก ๆ คือ ฝึก Set Boundary ให้เก่งขึ้น — คิดว่านี่จะเป็นสกิวสำคัญมาก ๆ ที่โรงเรียนควรมีสอน สกิวในการ Set Boundary
9. วิธี Productive ที่พยายามใช้ตอนนี้ คือการ Set System + Environment ที่ช่วยให้ถนนมันลื่นขึ้น มัน Flow ขึ้น ซึ่งนำไปสู่การทำงานที่ง่ายขึ้น และเร็วขึ้น มากกว่าการที่จะฝืนแล้วฝืนอีก ทุ่มตัวเองไปให้ได้ไกลที่สุด เร็วที่สุด บนถนนที่ขรุขระ และบางทีก็ออกนอกเส้นทางด้วย คือมันไปเป็นการบริหาร Energy ที่ต่างกันมาก ๆ ทั้งสองแบบ
10. Hustle Culture มันมีประโยชน์นะ เหมือนกาแฟ แต่คุณคงไม่คิดว่าการยัดกาแฟ 80 แก้ว ทั้งวันทั้งคืนมันควรทำหรอกมั้ง?
เริ่มรู้สึกว่าเขียนไปเรื่อยละ ไว้จะมาเขียนอีก Blog นี้อาจจะไม่ได้ Articulate เท่าไร ถ้าไม่มีคุณภาพขออภัยด้วย แต่คิดในใจว่าน่าจะดีกว่าไม่เขียนมันออกมามั้ง 😂