Kamin MIT Diary #4
พรุ่งนี้ idm จะไป hiking กัน!
idm คือโปรแกรมที่ผมมาเรียนโทที่ MIT
ชื่อเต็ม (ซึ่งบอกทีไรคนก็งงว่าสรุปเรียนอะไร) คือ Integrated Design & Management
สั้นๆคือ โปรแกรมที่วิศวะ และ Sloan (MBA) ของ MIT เปิดร่วมกันโดยได้ Director ซึ่งเป็น Designer มาสร้างหลักสูตร
บู้ม! ท่วมทุ่งข้าวสาลีกลายเป็นโปรแกรมที่รวมคนที่มีส่วนผสมของทั้ง Design, Engineering, Business เข้าด้วยกันเพื่อสร้าง product หรือ service โดยเน้นแก้ปัญหาอะไรบางอย่างบนโลก
จบแค่นี้ เพราะไม่ได้มาขายของ
กลับมาที่ hiking ต่อ
ผมโดนแวดล้อมไปด้วยคนลวงหลอกให้คิดว่ามันคือทริปชิวๆ
ก็ไม่ได้มีใครแนะนำว่าให้เตรียมอะไรไปนี่ บอกแต่ว่ามันจะเป็นทริปที่บรรยากาศดีบ้างหล่ะ สนุกสนานบ้างหล่ะ จะทำให้ทุกคนสนิทกันราวกับกินอยู่หลับนอนกันมาเป็นปีบ้างหล่ะ
ภายในหัวเราคือ โอเค น่าจะเป็นอารมณ์ กิจกรรมฐาน นั่งรอบกองไฟปิ้ง Mashmallow และผลัดกันเล่าเรื่องน่าอายสมัยเด็กๆ พร้อมหัวเราะคิกคักพอกล้อมแกล้มเป็นพิธี
สรุป ไม่ได้เตรียมอะไรไปเลยนอกจาก แปรงสีฟัน ผ้าขาวม้า แชมพู สบู่ และ กางเกงใน
กลิ่นมันเริ่มมาละหลังจากโดนยัดสัญญาให้เซ็นว่าทาง idm จะไม่รับผิดชอบกรณีเกิดเหตุสุดวิสัย
พอนั่งรถบัสตรงสู่ Mount Lafayette เท่านั้นแหละ ชัดเลยว่าคุณหลอกดาว
ภาพตอนนั่งรถบัสเข้าสู่เขาชนไก่สมัย รด. มันลอยกลับมาในหัวเลยทีเดียว
สิ่งนึงที่ผมชอบคือ เขาชัดเจนมากว่า ใครมา hiking จะต้องดูแลตัวเอง เขาแจกแซนวิช 2 ห่อ ขนมอีก 2 ห่อ น้ำขวดนึง พร้อมกับถุงขยะส่วนตัว
“เอาอะไรขึ้นไปก็ได้ แค่ต้องเอาลงมาด้วย”
สั้นๆ แต่พอคนรอบข้างทำตาม เราก็ทำตาม มันง่ายๆแค่นั้น ตลอดทางไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ ไม่ได้มีป้ายมาคอยคุมว่าห้ามทิ้งขยะ คนมา hiking ก็เยอะนะ แต่ธรรมชาติก็ยังธรรมชาติมากๆ
ทุกคนที่มาเที่ยวจะแปลงร่างกลายเป็น professional hiker ผู้ปฏิญาณว่าจะไม่ทิ้งร่องรอยไว้ที่นี่โดยอัตโนมัติ
ประทับใจจัง
ตลอดการขึ้นเขา นอกจากบ่นกระปิดกระปอยในใจว่าทำไมไม่มีใครบอกกูก่อนฟะว่าจะต้องมาลำบากยากแค้นขนาดนี้
เราเองก็คิดในใจว่า การขึ้นเขามันคือการต่อสู้กับตัวเองโดยแท้ เราไปด้วยความเร็วที่เราโอเค อยากพักตอนไหนก็พัก ไม่จำเป็นต้องรอหรือเร่งเพื่อทันคนอื่นก็ได้ การไปถึงสำคัญกว่าการไปเร็ว
ถ้ายังไหวก็ก้าวขาขวาออกไปข้างหน้า
ตามด้วยขาซ้าย
และขวา …ต่อไปเรื่อยๆ
นี่มันบทเรียนภาคต่อจากเมื่อวานชัดๆ เพราะ Matt แกเพิ่งเล่าเรื่องจักรยานของเขาใน class (อีกแล้วเหรอเห้ย!)
การออกกำลังกายสอนให้เขารู้ว่ามนุษย์มี limit อยู่สองแบบ
limit ที่ตัวเองคิดว่าตัวเองเป็น กับ limit ที่แท้จริง (ซึ่งเพิ่มลดได้ตลอดเวลา)
และหลายครั้งถ้าเราไม่เคยพาตัวเองออกไปเจอ challenge ใหม่ๆ เราจะอยู่กับ limit ที่เราคิดว่าตัวเองเป็น จนเมื่อปล่อยให้เป็นอย่างงั้นเรื่อยๆ วันนึงมันจะกลายเป็น limit ที่แท้จริงของเราดื้อๆซะอย่างงั้น ถ้าเราไม่หมั่น push มันออกไปเรื่อยๆ
พอมาเจอทริปนี้ก็ซึ้งในรสพระธรรมกันเลยทีเดียว เอาจริงๆนะ พอเดินขึ้นเขา 10 ชม. ก็ทำให้รู้ว่าเราเองก็เดินได้ไกลขนาดนี้
ว่าแต่ที่ๆเราจะไปพักทำไมมันไกลจังฟะ
แถมซักพักเริ่มปวดอึ แต่ก็ต้องอั้น ท่องไว้ๆ
“ทุกสิ่งอย่างที่เอาขึ้นมา ต้องเอาลงไปด้วย”
ถามเพื่อนมันก็ได้แต่บอกว่า
“น่าจะใกล้ถึงแล้วนะ“
…1 ชม.ผ่านไป
“เออ น่าจะใกล้ถึงจริงๆละ“
…ผ่านไปอีก 1 ชม.
“เราว่าคราวนี้น่าจะจริงๆ จริงๆละ“
เออ ฉันผิดเองที่ถาม
คุณพระเดชะบุญ เจอบ้านพักแล้ว! เป็นบ้านไม้ใหญ่ๆหนึ่งหลัง มีแผง solar cell อยู่ข้างบน แสงไฟจะมีเฉพาะตอนที่มีแสงอาทิตย์เท่านั้น ไม่มีที่อาบน้ำ (แล้วฉันจะเอาสบู่แชมพูมาเพื่อ!)
แต่เออ มองโลกในแง่ดีเพราะอย่างน้อยก็มีส้วมให้ โล่งใจ…
พอถึงที่ ผมพุ่งเข้าเตียงด้วยความเร็ว 180 กม./ชม. ด้วยปณิธานมุ่งมั่นว่าคืนนี้จะนอนพักให้หนำใจเลยคอยดู แต่แล้วก็อุตริมีนักศึกษาที่มาพักคนนึงแกเป็นคนบ้าดาราศาสตร์มากถึงขั้นแบกกล้องดูดาวขึ้นมาด้วย ป่าวประกาศเสียงดังกลางบ้านว่าวันนี้จะเป็นวันที่ดาวอังคาร กับดาวเสาร์โคจรมาอยู่ตรงกันพอดีเด๊ะ ใครอยากดูให้มาเจอกันข้างนอกตอน 3 ทุ่ม
ด้วยความเชื่อคนง่าย เออก็ได้ 3 ทุ่มเปิดประตูบ้านออกไปปุ๊บ โดนลมหนาวตีหน้า ผ่าง! ได้แต่พูดเป็นน้ำเสียง Jon Snow ว่า
“Winter is coming…”
พอมีคนสนใจหน่อย พ่อหนุ่มคนนี้ถึงกับออกอาการตื่นเต้นดีใจ พล่ามไม่หยุดราวกับ textbook เคลื่อนที่
เคยสงสัยนะว่ามันโม้เปล่าเรื่องวงแหวนของดาวเสาร์ พอส่องเท่านั้นแหละ เห้ย! มันเห็นจริงๆ
อากาศยะเยือกอย่างงี้ จู่ๆกลางวงก็มีกระป๋องเหล้าโผล่มา ไม่ต้องเดาว่า 1 ในนั้นคือของ Matt
อีก 2 อันเป็นของ John คุณพ่ออดีตมือ VFX ผู้สร้าง Jar Jar Binks และ Andy ครูสอนแลปที่มีอารมณ์ขันแบบประหลาดๆ
ทั้งหมดพกเหล้ามาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ส่วน Suneeta สาว biker ชาวปากีสถาน ตอนแรกผมเห็นเจ๊แกถือขวดพลาสติกขึ้นมาด้วยซึ่งข้างในมีน้ำเหลืองๆแปลกๆนึกว่าน้ำผลไม้ ที่ไหนได้เป็น alcohol เหมือนกัน
สุราและมิตรภาพ คลุกเคล้าอบอุ่นกำลังดี
วันรุ่งขึ้น เราจบทริปด้วยการเดินทางข้ามเขาอีก 4 ลูกเพื่อมาลงอีกฝั่งนึงที่รถจอดอยู่
ผมคิดในใจนี่ idm กล้ามากเลยนะที่รับน้องกันแบบนี้ คือคนไม่ไหวก็ต้องลากสังขารไปให้ตลอดรอดฝั่งอ่ะ เพราะทางเดียวที่จะออกไปได้คือต้องเดินเท้าเท่านั้น รถเข้าไม่ถึง ไม่มีบ้านคนกลางทาง มีแต่ธรรมชาติเท่านั้น
ว่าแล้วก็ตักน้ำจากน้ำตกใส่ขวดเอาไว้กินระหว่างทาง น้ำแอบเค็มนิดหน่อย แต่ Suneeta ก็ได้แต่ยืนยันว่ามันคือน้ำแร่ พร้อมกับตักใส่ปากโชว์ทุกครั้งที่มีคนถาม โอ้ เธอช่างสตรองจริงๆ ถ้ามาท้องเสียทีหลังจะหัวเราะให้
กลับมาขาลาก สารภาพว่าเดินขึ้นบันไดยังลำบาก แต่ในใจกลับยิ่งฮึด เหมือนการรับน้องครั้งนี้เป็นการตบหัวเราแรงๆทีนึงแล้วบอกว่า
“เห้ย! เอ็งอยากได้ challenge ใช่ไหม เอ็งมาถูกที่แล้วแหละ“
อืม ถูกที่จริงๆ เพราะแค่รับน้องวันแรก ก็พาเราไปเจอ limit ที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้.