Welcome to the Club ของคนเครียดมากคืนวันอาทิตย์ และ Anxious ตั้งแต่เช้าวันจันทร์ ☀️
ไม่รู้เป็นอะไร (จริง ๆ ก็รู้แหละว่าเป็นอะไร แต่ไม่รู้จะแก้ยังไงมากกว่า)
หลอดความเครียดจะค่อย ๆ พุ่งอีกครั้ง ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันอาทิตย์กระทั่งปรี๊ดแตกตอนกลางคืน คือมันเครียดกับภารกิจที่จะต้องทำให้ได้ในวันจันทร์ บางอย่างยาก เต็มไปด้วย Uncertainty นี่เราเตรียมตัวดีรึยังนะ แล้ววันถัดไปหล่ะ สิ่งที่จะต้องทำทั้งอาทิตย์นั้นจะค่อย ๆ ถูก Visualize อยู่ในหัว ซ้ำไปซ้ำมา งานที่ Fixed ว่าจะต้องเสร็จในแต่ละวันของอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ประชุมสำคัญทุกอันที่เราจะต้องทำให้ได้ ขายให้ได้ Present ให้ผ่าน คือมัน Overwhelm สุด ๆ มันเหมือนเรามองเห็นแต่ภูเขาลูกใหญ่ตลอดเวลา
ตอนนี้สิ่งที่พยายามทำ และพอจะช่วยบรรเทาได้บ้าง
1. เขียนออกมา Brain Dump ออกมา
ข้อนี้ค่อนข้าง Obvious และน่าจะเคยได้ยินกัน แต่เวลา Overwhelm ทีไรก็จะลืมทู้กที เพราะมนุษย์เราจะเข้าสู่ภาวะ Paralyze ไม่ก็วิ่งเข้าหา Distraction ไถมือถือทันทีเพื่อหนีความรู้สึกนี้ สำคัญคือ เขียนออกมาก่อน List ออกมาให้หมดในหัว ไม่ว่าจะเป็น Information แบบไหน ก็ Brain Dump ออกมาให้หมดก่อน จะได้เคลียร์ RAM ในสมองเรานิดนึง จุดแรกที่เขียนจะพยายามไม่ Organize เลย ไม่มีการพยายามจัดกรุ๊ป บางข้อเขียนไม่เป็นภาษาคนก็มี เอาแค่ว่ากลับมาอ่านแล้วยังพอรู้ว่าหมายถึงอะไร บางข้อมี Detail เยอะ บางข้อน้อย บางข้อเป็น Actionable Item เลย บางข้อเป็น Event ที่จะเกิดขึ้น บางข้อเป็น Information เฉย ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะจัดการยังไง หรือต้องทำอะไรกับมันต่อ
พอพ่นออกมาหมดแล้ว ก็อาจจะลองดูว่าสามารถ จัด ตัด แต่ง มันยังไงได้ไหม ให้สมองมันพอจัดการได้ง่ายขึ้น Ideally คือเราน่าจะต้องถามตัวเองว่าอันไหนตัดได้ อันไหนไม่จำเป็น แต่ข้อนี้ส่วนตัวผมก็จะพบว่ามันตัดยากจริง ๆ อาจจะตัดได้น้อยมาก ที่เหลือผมก็อาจจะเริ่ม Group Somehow ละ ตรงนี้ถ้าตอนแรกเขียนใส่ Post-it อยู่แล้วก็จะง่าย แต่ถ้าตอนแรกเขียนใส่กระดาษ หรือ Tablet ก็ให้เริ่มเขียนใหม่ใส่ Post-it ซึ่งตอนแรกอาจจะฟังดูไม่สะดวก ฮ่วย จะไปทำอะไรซ้ำ ๆ ซาก ๆ ทำไม
แต่การเขียนออกมาใส่ Post-it อีกรอบเนี่ยแหละ ที่จะทำให้เราค่อย ๆ ตกตระกอนในหัวทีละนิด ข้อไหนที่ยังไม่ Actionable ขนาดนั้น รอบนี้ก็อาจจะเขียนให้มัน Actionable ขึ้นว่า เห้ย ตกลง Action คือ เราต้องทำอะไรจริง ๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็อย่าเพิ่งไปซีเรียสมากว่าจะต้องเขียนผิดเขียนถูก เขียน ๆ มันออกมาก่อน เราไม่ได้จะเขียนส่งโรงพิมพ์ เราเขียนเพื่อช่วยให้คิดออกมากกว่า
ถ้าตามตำรา Step ต่อไปเขาจะให้หาทาง Automate แต่หลายครั้งคือมัน Set ระบบ Automate ไม่ทันแล้วเพื่อน! มันจะวันจันทร์แล้วไง เพราะฉะนั้นก็อาจจะลองดูเลยว่าอันไหน Delegate ได้ (จริง ๆ ตรงนี้ก็อยากให้ทุก Messaging App มันสามารถ Schedule Message ได้เหมือนกันนะ จะได้ไม่รบกวนชาวบ้าน) ส่วนอันไหน Batching ได้ก็กรุ๊ปมันด้วยกัน ที่เหลือก็ค่อย ๆ ทยอย Schedule เป็น Time-boxing ว่าจะทำช่วงไหนในแต่ละวัน
และแล้ว…ก็พบกับความจริงอันโหดร้าย…
ต่อให้พยายามจัดใส่เท่าไร ก็พบว่ามีเวลาไม่พอสำหรับ Task ทั้งหมดที่ List ออกมา เห้อ เนี่ยแหละคือความยากของชีวิต
ณ จุดนี้ผมจะเริ่มทักไปบอกหลาย ๆ คนที่ Expect งานต่อจากเราในอาทิตย์หน้า (พวกงานที่ Didn’t make the list… แอม ซอรี่ 🥹) ว่า เฮ้ย ยู อันนี้น่าจะยังไม่ได้นะ มันน่าจะไปได้อีกทีเมื่อไร ยิ่งเราบอกเขาได้เร็วมากเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะจะได้หาทางจัดการได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ก็เข้าใจนะ หลายครั้ง เรามักจะหนีตรงนี้จนกระทั่งวินาทีสุดท้ายถึงค่อยมาบอก ตรงนี้ก็ต้องอาศัย Willpower ในวันอาทิตย์เนี่ยแหละ กลั้นใจแล้วก็ทำไปซะ เอาจริง ๆ คนส่วนใหญ่ที่ทำงานด้วยกันก็ค่อนข้าง Reasonable นะ มันเข้าใจได้ เพราะทุกคนก็ Struggle กับอะไรแบบนี้เหมือน ๆ กัน หมดนั่นแหละ
จากประสบการณ์ผมอีกอย่างนึงที่รู้สึกบ่อย และอยากมาแชร์ก็คือ หลังวาง Time-boxing ไปแล้วของอาทิตย์ที่จะถึง ระหว่างอาทิตย์ ขณะที่เราเรากำลังรบอยู่ สุดท้ายก็มักจะพบว่าเรา Overestimate ตัวเองเกินไปเยอะอยู่ดี (ถึงแม้ว่าจะพยายามไม่ Overestimate แล้วนะ) ว่าในวัน ๆ หนึ่งเราจะสามารถทำอะไรได้เยอะ “ขนาดนั้น” แต่แหม จังหวะ Planning ถ้าไม่พยายามอัดก็ไม่ได้อีก เพราะไอ้นั่นไอ้นี่ มันก็ต้องเสร็จวันนี้ ๆๆๆ นี่นา แล้วจะให้ทำยังไงหล่ะเพื่อน!
2. ทำใจ?
คือ เอ้า จะให้ทำไง อันนี้จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ง่าย ต่อให้ทำข้างบนเสร็จช่วงบ่าย หรือ คืนวันอาทิตย์ ใจมันก็ยังกระสับกระส่าย จริง ๆ ก็ค่อนข้างลองมาหลายอย่างนะ นั่งสมาธิ เล่นโยคะเบา ๆ ตอนกลางคืน จุดเทียนหอม มองท้องฟ้า อ่านหนังสือ ทำอะไรก็ทำไปเถอะ มันช่วยได้บ้าง แต่ต้องทำใจที่จะอยู่กับความรู้สึก Anxious นั้นแบบ ยังไงดีหล่ะ เอ้อ สวัสดีจ่ะ Anxiety เจอกันอีกแล้วนะ 555
อีกอย่างนึงที่เกิดขึ้นบ่อยเหมือนกันก็คือ อาทิตย์ไหนที่ติดงานเสาร์อาทิตย์ด้วย แล้วไม่ได้มีเวลา (หรือ Willpower) มากพอที่จะนั่งเขียน ผมจะพยายามอัด Melatonin แล้วนอนไปเลย เพื่อไปเขียนตอนเช้าในวันจันทร์ ซึ่งก็ไม่ใช่ท่าที่ Perfect ขนาดนั้น เพราะเท่าที่จำได้ ส่วนใหญ่คือมันจะไม่ได้นอนหลับแบบ Deep Sleep เท่าไร แต่ก็เป็นท่าแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อารมณ์แบบไปตื่นเช้ามาก ๆ ในวันจันทร์ จะได้มีเวลานั่งคิดนั่งเขียนก่อนที่ทุกอย่างจะประดังประเดเข้ามา
3. Device-free ตอนเช้าวันจันทร์ 1 ชั่วโมงหลังตื่น (จริง ๆ ควรทำทุกวัน)
ค่อนข้างสำคัญเหมือนกันนะ ว่าตื่นขึ้นมาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงอย่าเพิ่งหยิบมือถือ ส่วนใหญ่ผมจะ Charge ไว้คนละห้องไปเลย คือต้องคิดอย่างงี้ว่า คนอื่นเขาก็ (น่าจะ) Anxious + Overwhelm เหมือน ๆ กับเราเนี่ยแหละ เพราะงั้น Message เอย Email เอยจะประดังประเดของคนพวกนั้นจะพุ่งเข้าใส่เราทันทีที่เริ่มเปิดมือถือ ทีนี้หล่ะ แผนที่เราวางไว้จะกระจุยกระจายหายไปเป็นโกโก้ครั้นช์ทันที เพราะ Agenda คนอื่นจะเข้ามาแทนที่ Agenda ที่เราวางไว้ ตรงนี้ Tricky เหมือนกันนะ ใน Dynamic ที่ทำงาน บางคนอาจจะรู้สึกว่า ไม่ได้สิ! เกิดเจ้านายพิมพ์มาว่าต้องเปิดอ่านเพราะเป็นเรื่องสำคัญหล่ะ เรื่องการ Set Boundary นี่โคตรสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องที่เดี๋ยวคงจะพูดกันในคราวหน้า แต่ส่วนตัว ผมจะพยายามแบบ ช่างมัน! 555
จริง ๆ มันมีอีกแนวนึงนะ บางคนพอเปิดมือถือแล้ว Ovewhelm ก็จะวิ่งไปหา Distraction ทันที อาจจะไถ Social Media เพื่อหนีความรู้สึก Anxious นั้น (ซึ่งยิ่งไถก็ยิ่ง Anxious กว่าเดิม แต่มันคุมตัวเองไม่ได้!) แล้วต้องคิดงี้ว่า Social Media มันถูก Engineered เพื่อกระตุ้นให้คนติดอยู่ในโลกนั้นให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้อยู่แล้ว เพราะงั้นส่วนใหญ่พอเราเข้าสู่ลูปนี้ มันจะไถเป็นชั่วโมงจนกระทั่ง Exhausted จริง ๆ แล้วค่อยกลับมาทำงานอยู่ ซึ่งพอถึงจุดนั้น กล้ามเนื้อในการ Focus ก็ฝ่อหมดแล้ว ฮือ
จริง ๆ นอกจาก 3 ข้อบน ก็มีบางอย่างที่ลองทำแล้วช่วยพอสมควรนะ ผมเคยไปดูคลิปของ Jordan Peterson ที่พูดถึงว่าให้กินโปรตีนเยอะ ๆ + เลี่ยง Carbohydrate ตอนเช้า จะช่วยให้โฟกัสง่ายขึ้น Anxious น้อยลง ซึ่งผมลองก็มีผลนะ เพราะงั้นส่วนใหญ่ตอนเช้า โดยเฉพาะวันจันทร์ ผมจะสั่งเนื้อมาเลยตั้งแต่เช้า อัดให้มันมีพลังและอิ่มไปทั้งวัน
อีกอย่างที่นึกออกที่มันก็ช่วยจริง ๆ แหละ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นท่าโกง นั่นคือการนั่งทำงานวันเสาร์อาทิตย์ไปด้วย เพื่อให้อาทิตย์หน้าที่จะถึงมันเบาขึ้น ซึ่งตอนนี้ยัง Struggle อยู่ว่าจะยังไง ถึงจะแพลนได้ดีจนกระทั่งไม่ต้องทำท่านี้ เพราะจริง ๆ รู้สึกว่าไม่ Healthy เท่าไร และอยากเอาเวลาไปโฟกัสที่ด้านอื่นของชีวิตมากกว่า แต่มันก็ช่วยให้เบาลงจริง ๆ โอ้ นี่สินะ Dilemma ของชีวิต!
ถึงตอนนี้คิดว่า อาจจะมีประโยชน์กับเพื่อน ๆ ไม่มากก็น้อย และถ้าเกิดลองทำแล้วยังไม่ช่วย ก็ขอให้รู้ไว้ว่าเราไม่ได้เป็นคนเดียว เป็นเพื่อนกัน ฮ่า ๆ ส่วนใครมีเทคนิคอะไรก็ช่วยแชร์ด้วยนะครับ จะเป็นพระคุณมาก ๆ